Saturday, November 24, 2012

สังเวียนกลางทุ่ง




สังเวียนกลางทุ่ง
    ตอน ลุงดำซื้อไอ้โหนดมา มันอายุราวหกเดือน เงิน ๖,๐๐๐ กว่าบาทก็เหมาะสมดีกับวัวพันธุ์พื้นเมือง ที่ใช้งานในไร่นาทั่วไปวัยขนาดนี้ ส่วนมากคนซื้อไม่รู้หรอกว่า ลูกวัวที่ได้มา มีเชื้อพันธุ์วัวชนเก่งกาจผสมอยู่บ้างหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นลูกวัวสายพันธุ์ดีนั้น ซื้อขายกันในราคาสูงเกิน ๑ หมื่นบาท
    แต่แกเห็นว่ามันมีรูปลักษณ์ดีตามคตินิยม (เท่าที่เห็นได้ในขณะนั้น)
    วัวทั่วไปพออายุ ๓-๔ ปีก็เริ่มถึก และเริ่มชิงความเป็นจ่าฝูง โดยการประลองกำลังชั้นเชิงในการต่อสู้ และน้ำใจอดทน เจ้าของฝูงจะคัดเลือกตัวชนะไว้เป็นพ่อพันธุ์ ตัวที่แพ้ก็ทุบลูกอัณฑะตอนเสีย ไม่ให้ขยายพันธุ์เสีย เรียกกันว่า "วัวลด" แต่สำหรับคนเลี้ยงระดับชาวบ้าน มีวัวแค่วัวสองตัว ถ้าชนเก่งก็ถือว่าโชคดีเหมือนถูกหวย ถ้าไม่สู้เพื่อนก็เลี้ยงเป็นวัวเนื้อโดยปริยาย ไอ้โหนดโตเป็นหนุ่มก็เริ่มส่อแววว่า มีอุปนิสัยส่อไปในเชิงชอบต่อสู้ เช่น ซุกซน ปราดเปรียว ชอบชนกับวัวอื่น ๆ ในทุ่ง ไม่กลัวแม้เผชิญหน้ากับตัวใหญ่กว่า ประสาที่เรียกว่า วัวด้น - แบบเดียวกับมฤตยูดำ ไมค์ ไทสัน นักมวยเฮฟวีเวต
    จึงเริ่มซ้อมชนกลางทุ่งนาเพื่อดูทางชน หรือชั้นเชิงของมันว่าจะอยู่ในระดับไหน ที่สำคัญมากคือดูใจแห่งความเป็นนักสู้ว่าชนได้นานเพียงใด หากวัวชนได้เพียง ๕ นาที หรือเพลี่ยงพล้ำเพียงเล็กน้อย แล้วหันหลังหนีก็ใช้ไม่ได้ เหมาะจะเลี้ยงเป็นวัวเนื้อมากกว่า การชนแบบนี้จะต้องพันเขาด้วยพลาสเตอร์ เพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์ว่า ไม่ได้เล่นพนัน และมักชนกับวัวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่ไม่เคยผ่านสังเวียนจริงมาก่อน 
       ปัจจุบันวัวที่ชาวบ้านซื้อมาเลี้ยงราคา ๑ หมื่นบาท พอเอามาซ้อมชนจะจะเพียงครั้งสองครั้ง อาจขายให้เถ้าแก่ได้ทันที
๔-๕ หมื่นบาท ทว่าหลายคนก็ปฏิเสธไม่ยอมขาย ลึก ๆ ทุกคนก็หวังจะให้วัวโตขึ้นมา กลายเป็นตำนานวัวชนอย่างโคโพเงิน โคแดงไพรวัลย์ โคขาวรุ่งเพชรทั้งนั้น โคโพเงินเป็นวีรบุรุษของครอบครัวกาฬคลอด และชาวบางบูชา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากตายไปแล้ว คนในครอบครัวยังให้ความรักความผูกพันประหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ จึงได้สตัฟฟ์ไว้บูชาและจัดที่อยู่อันควรให้
   
เจ้าโหนดเองก็มีคนเลียบเคียงขอซื้อมากมาย แต่เมื่อมันชนชนะสังเวียนกลางทุ่งครั้งหลังสุด ลุงดำและพรรคพวก ก็รู้ว่ามันจะเป็นวัวมีระดับในอนาคต ได้ใช้ชีวิตท่องไปตามสังเวียน เพื่อล่าเดิมพันวงเงินล้าน
   
ความจริงเกี่ยวกับชีวิตวัวชนข้อหนึ่งจากปากนักเลงคือ การเป็นวัวชน เท่ากับยืดเวลาการตายของมันออกไป นานกว่าปรกติ วัวดี สุขภาพสมบูรณ์จะสามารถชนจนถึงอายุ ๑๒-๑๕ ปี พวกนี้มักจะอยู่ได้จนสิ้นอายุขัยในแปลงหญ้า ขณะที่วัวไม่ได้เป็นวัวชน อายุได้เพียง ๓-๔ ปีก็ถูกส่งขายเขียงเนื้อ
.................................................
      "โคนิลเพชรหัวใจสิงห์" ดาวรุ่งอายุ ๗ ปีของบ่อนยวนแหล มีประวัติต่างจากไอ้โหนด มันเป็นผลผลิตจากสายพันธุ์ของวัวชนชั้นดี สายพันธุ์ดีหมายถึง gene วัวชนชั้นเลิศจากทางสายแม่ (พ่อของแม่เป็นวัวชน หรือพี่น้องตัวผู้ของแม่เป็นวัวชนระดับแชมป์เปี้ยน) ยิ่งถ้าผสมกับสายพ่อที่เป็นวัวชนระดับขุนพล ลูกที่ได้ย่อมมีพันธุ์ประวัติดี เข้าทำนอง "เชื้อมักไม่ทิ้งแถว"
   
เจ้านิลมีองค์ประกอบสำคัญซึ่งเป็นที่นิยมอีกข้อหนึ่ง คือโครงสร้างของร่างกายที่แข็งแรง -- คร่อมอกใหญ่ บั้นท้ายเล็กเรียวลาดลงคล้ายสิงโต วัวคร่อมอกใหญ่ได้เปรียบเพราะ ยามเข้าต่อหัว วัวจะทุ่มน้ำหนักไปข้างหน้าทั้งหมด ฝ่ายที่มีหน้าตัดของกล้ามเนื้อมาก หรือมีมวลมากย่อมได้เปรียบ จะสามารถกดดันคู่ต่อสู้ ให้เสียการทรงตัวได้ง่าย ขณะเดียวกันก็ต้านแรงปะทะจากคู่ต่อสู้ได้ดี
   
ทุกวันนี้เวลาจะซื้อวัวชน คนมีแนวโน้มที่จะเลือกวัวสายพันธุ์ดี (แม้ราคาแพงกว่าสองสามเท่า) มากกว่าจะเลือกว่าขวัญอยู่ตรงหนอก หรืออยู่กลางหลังตามภูมิความรู้ที่สั่งสมมา กระแสคิดที่แปรเปลี่ยน นอกจากแสดงว่าคนอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ ในการคัดเลือกมากขึ้นแล้ว จะเป็นไปได้ไหมว่า มันยังสะท้อนถึงลักษณะนิสัย เกี่ยวกับความต้องการเอาชนะ ที่เข้มข้นขึ้นของคนกลุ่มนี้ด้วย      วัวทั้งสองแสดงชั้นเชิงเข้าตานักเลงวัว และได้รับการขุนอย่างจริงจัง ฟิตตัว ออกกำลังแข็งแกร่ง...กล้ามคอขึ้นแน่นปึ้ก
   
หลังจากชนบ่อนชนะเพียงสองครั้ง มันก็ถูกซื้อมาอยู่กับเถ้าแก่ของบ่อนยวนแหล ด้วยราคา ๔ หมื่นบาท ตอนนี้ราคาของมันสูงจน "ไม่มีราคา" "ซื้อสิบกว่าเราก็ไม่ขาย" ครูจุ๋ม เจ้าของใหม่บอก "มันไม่ได้มีไว้ขาย" -- "สิบ" ของเขาภาษานักเลงวัวนักพนันหมายถึง ๑ แสนบาท
   
ความที่ "เนื้อเลี้ยง" -กำลังบำรุงดี ทำให้ไอ้นิลได้รับการวาง (ซ้อมชน) ทุก ๑๕-๒๐ วัน มีคนเลี้ยงประจำสองคน ไม่นับคนตัดหญ้า อีกทั้งลุงเจ้าของคนเดิม ที่หมั่นมาดูแลเสมือนเป็นพี่เลี้ยงให้อีกคน
   
ในรอบหนึ่งวัน ทั้งเช้าและเย็นไม่ว่าสภาวะอากาศจะอย่างไร คนเลี้ยงจะพาวัวเดินออกกำลังตามถนนดิน หรือชายหาด ระยะทางใกล ้- ไกลตามแต่ต้องการ เดินวัวรอบเช้ากลับมา จะต้องอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้วัว ยิ่งใกล้วันแข่ง จะมีการเพิ่มรอบอาบ พร้อมด้วยการนวดเฟ้นให้วัวสดชื่นกระปรี้กระเปร่า หญ้าที่วัวชนกินต้องเป็นหญ้าตัดสด ๆ เท่านั้น ไม่ปล่อยให้วัวเดินแทะเล็มหญ้ากินเอง ในระยะหลังเริ่มมีการเลือกชนิดของหญ้าด้วยว่า ต้องเป็นหญ้าหราดกับหญ้าหวายข้อ ที่มีไขมันน้อยเท่านั้น วัวจึงได้รับธาตุอาหารที่เหมาะสม บางคนพอวัวติดคู่ชนแล้ว จะไม่ตัดหญ้าซ้ำที่เดิม เพราะกลัวถูกวางยา
   
วัวกินหญ้าไปพร้อม ๆ กับ "ตรากแดด" แม้เมื่อกินหญ้าอิ่มแล้ว ก็ยังคงถูกปล่อยไว้ที่เสาหลักกลางแจ้ง ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้าต่อไป เพื่อลดไขมัน และสร้างความเคยชินต่อภาวะตรากตรำ จะทำให้ไม่เหนื่อยง่ายเมื่อทำการชนจริง      สำหรับคนเลี้ยงวัวระดับชาวบ้าน กิจกรรมการประคบประหงม ต้องใช้แรงงานอย่างน้อยสองคน ไม่พ่อกับแม่ก็พ่อกับลูกชาย ต้องใช้ทั้งเวลา และความวิริยะอุตสาหะ ชาวบ้านจึงเลี้ยงวัวชนได้ไม่มากกว่าคราวละหนึ่งตัว หากมีภาระต้องดูแลลูก หาเงินส่งลูกก็เลี้ยงไม่ได้
   
ฝ่ายคนที่รับจ้างเถ้าแก่เลี้ยงวัวก็ใช่ว่าเขาจะมีความผูกพันธ์ มุ่งมั่นในชัยชนะ ถึงขั้นทุ่มเทชีวิตให้แก่วัวชนน้อยกว่ากรณีที่เป็นเจ้าของเลี้ยงเอง เพราะความจริงคือ พวกเขาจะต้องกินนอนอยู่กับวัว เกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูก วัวชนตัวนั้นเป็นของพวกเขานั่นเอง โดยที่มีเถ้าแก่ (ซึ่งทำธุรกิจอย่างอื่นเป็นหลัก) ซื้อมาให้เลี้ยง
   
คำว่า เลี้ยงวัว ของบรรดาเถ้าแก่ นายหัว จึงหมายถึงเขาจะต้องเลี้ยงคนเลี้ยงวัว เลี้ยงครอบครัวของคนเหล่านั้นให้อยู่ดีกินดี ถ้าครอบครัวคนเลี้ยงวัวมีปัญหา เถ้าแก่จะต้องมาดูแลด้วย มิฉะนั้นวัวจะมีปัญหาไปด้วย เหมือนที่มีคนสรุปว่า "ถ้าเขากินไม่อิ่ม ต้องมีปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใดต่อวัวอย่างแน่นอน"
   
เพราะสภาพแวดล้อมในสังคมชนวัวสอนให้รู้ว่า วัวชนนั้นต้องอยู่ในสถานะหุ้นส่วนของชีวิต ถ้าเลี้ยงแบบทีเล่นทีจริง ทำแบบขอไปทีก็จะไม่มีทางกำชัยชนะได้เลย
   
เมื่อตัดสินใจได้ว่าวัวและตัวเองพร้อมที่จะติดคู่ชนแล้ว เจ้าของก็จะเอาวัวไปเปรียบที่บ่อน ตามวันเวลานัดหมาย หรือถ้าเป็นวัวมีชื่อชั้น ก็อาจตกลงติดคู่กันเองระหว่างเจ้าของวัว หรืออาจมีคนกลางเชื่อมประสานหาข้อตกลงโดยไม่ต้องไปที่สนาม
   
การเปรียบวัวถือเป็นการประลองกำลังขั้นแรก ซึ่งอาจส่งผลถึงการแพ้ - ชนะกันได้ 
 

No comments:

Post a Comment